แชร์ประสบการณ์ขอวีซ่า F1 อเมริกา

อันนี้เคยเขียนลงใน Pantip ก๊อปมาลงที่นี่ด้วยละกัน

******************************************

กังวลมาตั้งนาน ในที่สุด เราก็ทำวีซ่าผ่านซักที เลยจะมาแชร์ ประสบการณ์ เพราะเรารู้สึกว่ามีจุดสำคัญที่ทำให้เราผ่านมาแบบง่ายๆอยู่

ส่วนตัวเรา เราให้เอเจนซี่ช่วยดูเรื่องที่เรียนให้ แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้เราผ่าน เพราะต้องมาวัดกันวันที่สัมภาษณ์ด้วย

ส่วนที่เรากังวลที่สุด คือ เรามีแม่กับน้องอยู่ที่อเมริกา (เพราะหลายคนขู่มา ว่ายิ่งมีญาติอยู่ยิ่งโดนเพ่งเล็งว่าอาจจะหนี) อีกอย่างคือ งานของเรา เป็นลักษณะคล้ายๆฟรีแลนซ์ คือรับงานมาทำ ไม่ได้จดทะเบียนพานิช แบบเป็นเรื่องเป็นราว

เราเป็นผู้หญิง อายุ XX (เซ็นเซอร์ 555 เอาเป็นว่าไม่ใช่เด็กแระ) และยังไม่ได้แต่งงาน

เรากรอกว่าไปเรียนภาษา 6 เดือน แต่ดันขออยู่ 1 ปี (ที่กรอกข้อมูลไว้)
(จริงๆเรากะไปเรียนต่อโทด้วย แต่มีคนบอกว่า เอาแค่เรียนภาษาก่อน เพราะถ้าไปนานเกินเค้าจะเพ่งเล็ง แถมบัญชีธนาคาร ต้องแน่นมากๆ )

เราก็เตรียมคำตอบอย่างดีเผื่อโดนถามว่าจะไปเรียน General English ก่อน 6 เดือน ค่อยต่อ Business English อีก 6 เดือน (แต่คำตอบนี้ไม่ได้ใช้เลย)

เริ่มแรก เราไปหาฤกษ์วันดีมาก่อน 555+(><~) ไปดูปฏิทินจีนไว้หลายๆวัน แล้วก็ เลือกเอาวันที่ 22  เป็นวันธงชัย (ตอนเราจะเลือกวันสัมภาษณ์ ตอนนั้น เขียวทั้งเดือนเลย เลยจิ้มเลือกวันเวลาได้ง่ายๆ)

นัดวันแล้ว เราก็มีเวลาเตรียมตัว อยู่เดือนกว่าๆ เราก็มาหาข้อมูลในนี้แหละ (Pantip) เตรียมบทสัมภาษณ์ต่างๆไว้ (ขอบคุณห้องนี้มากๆค่ะ)

ตอนแรกเรากะจะสัมภาษณ์ภาษาไทย เพราะภาษาอังกฤษเราด๋อยมากๆ - -* (เก่งคงไม่ต้องไปเรียนภาษาก่อนแระ) แต่มีคนแนะนำว่า สัมภาษณ์ภาษาอังกฤษจะง่ายกว่า สำหรับวีซ่า นร.

เอาก็เอา ภาษาอังกฤษก็ได้ ก็นั่งเตรียมคำถามคำตอบไป แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้ ว่า ต้องเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้นจริงๆเหรอ

จนเราได้มาตั้งกระทู้ถามในนี้ ว่ามีใครสัมภาษณ์ F1 เป็นภาษาไทยแล้วผ่านบ้าง
ปรากฏว่ามีคนนึงมาบอกว่าเค้าสัมภาษณ์ภาษาไทยแล้วผ่าน โดยการที่เค้า เดินเข้าไป แล้วพูด** สวัสดีครับ ก่อนเลย หลังจากนั้น บทสนทนา มันก็กลายเป็นภาษาไทย

** นี่เป็นจุดนึง ที่เราจำไว้ใช้ อิอิ

หลังจาก ทั้งซ้อมสัมภาษณ์กับเอเจนซี่ และให้เพื่อนมาช่วยซ้อม การซ้อม(เป็นภาษาอังกฤษผ่านไปด้วยดี) เอกสารพร้อม คนพร้อม ><

ถึงวันเราก็รีบออกเดินทาง ของเรานัดไว้ 8.45 ทีแรกแม่บอกให้ขึ้นรถไฟฟ้าไปลงลุมพินี แต่แม่คงลืมบอก ว่าใต้ดินรึบนฟ้า เราไป BTS มันไม่มีลุมพินี - -*

เราลงที่เพลินจิตจากคำแนะนำของคนแลกเหรียญ

ดูป้าย สถานฑูตเมกา ประตู 2 แต่เพื่อความชัวร์ ถามยามด้วย ว่าลงทางไหน ยามเปิดโพยให้ดู แล้วบอก เมกา ประตู 1 เราก็ เอ๊ ป้ายบอก 2 ไหงยามบอก 1 แต่แกก็กางโพยให้ดู มันเขียน อเมริกาเจงๆด้วย

เอาวะ 1 ก็ 1

เดินไปนานมากกก ไปเจอสถานฑูต แต่หน้าตาไม่คุ้น สรุปเป็นสถานฑูตอังกฤษอะ เง้อออ สรุป เรา ลงผิดประตูจริงๆ ต้องเดินย้อนกลับไป แล้วไกลมว๊ากกกกกกกกกกกก เล่นเอาเหงือตก รู้งี้ขึ้นมอไซต์รับจ้างดีกว่า

เราเสียเวลาเดินอยู่ 20 นาที กว่าจะไปถึง - -*

มาถึงก็ต่อคิว รับบัตรคิว เช็คกระเป๋าฝากของ

จุดสำคัญเราว่า อยู่ที่ตอนเช็คเอกสาร รอบ 2 (ที่เค้ามีคอมด้วยอะ) ก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์จริงๆ จะมีคนไทยมาเช็คเอกสารเรา พร้อมสัมภาษณ์เราด้วย จะไปทำอะไร ทำอะไรอยู่ตอนนี้ เราก็บอกไป เคยทำวีซ่ามาก่อนมั๊ย ซึ่งเราเคยมาทำ แต่นานมาแล้ว และไม่ผ่าน เราก็บอกเค้าตามความจริง ว่าเคยทำประมาณ 10 ปีแล้วแต่ไม่ผ่าน แล้วไม่ได้มาขออีกเลย

แล้วเค้าก็ถามเรามีญาติอยู่ที่เมกามั๊ย เราบอกว่ามี แม่กับน้องสาวอยู่ที่นั้น เค้าถามว่า แม่กับน้องถือวีซ่าอะไร เราบอกว่า ทั้งคู่ มีกรีนการ์ด เค้าก็ถามว่า แล้วทำไมไม่ให้แม่ทำกรีนการ์ดให้ เราก็ตอบเค้าไปว่า ก็เราไม่ได้อยากไปอยู่ เลยไม่ได้ให้ทำให้.....

จุดนี้แหละ เราว่าเป็นพ๊อยสำคัญ เราว่า เค้าต้องมีสัญลักษณ์หรือ โน๊ตอะไรซักอย่าง กับชุดเอกสารเรา

เราเข้าห้องด้วยเบอร์คิว เลข 2 ตัว 60 (เลขสมมุติ)
แต่น้องข้างๆเรา เข้าคิวใกล้ๆเรา ไปเรียนเหมือนกัน กลับได้เลข 3 ตัว 934 (เลขสมมุติ) ซึ่งเราก็คุยกันว่าทำไมเลขมันโดดแปลกๆ

ถึงเวลา เค้าก็เรียก คิว เลข 3 ตัว ไปช่อง 15 ประมาณ 10คิว
ซักพัก คิว เลข 2 ตัว ของเราก็โดนเรียกไปช่อง 14  อีก 10 คิว

เราก็ส่องๆ ดูว่าคนอื่นเป็นไงบ้าง ด้วยความตื่นเต้น

ช่อง 15 คนที่กำลังถูกสัมภาษณ์เป็นวีซ่า นร.เหมือนกัน เป็นผู้ชายวัยทำงาน สงสัยจะไปเรียนโท ได้ยินไม่ค่อยชัด เพราะเค้าคุยกันภาษาอังกฤษ แล้วเราก็ยืนไกลมาก เพราะเราเป็นคนสุดท้ายของแถวเราเลย

แต่มาจับใจความช่วงท้ายว่า เค้าไม่ให้ผ่าน ทางผู้ถูกสัมภาษณ์ก็ ถามว่าทำไม เหตุผลที่ จนท บอกมาคือ คุณเกรดน้อยเกินไป = =" คงสมัครมหาลัยดีๆไม่ได้ ประมาณนี้มั๊ง ถ้าอยู่นี่ คุณจะได้มหาลัยที่ดีๆกว่านี้ อะไรประมาณนี้ (แปลแบบมั่วๆ - -*)

คอตกเดินออกไป ส่วนเราใจแป่ว โอ๊ย ทำไมโหดจัง >"<

แถวข้างๆช่อง 15 เลื่อนคิวช้ามาก แต่ละคนโดนถามยาวๆ ดูเอกสารเยอะแยะทั้งนั้น ส่วนแถวเราดูเหมือนไม่ค่อยมีปัญหา เราถูกเลื่อนไป จนยืนใกล้น้องผู้หญิงที่เค้าไปเรียนเหมือนกันที่อยู่แถวข้างๆ (น้องเค้าเป็นคิวแรกๆ ของแถว )

จนน้องเค้าได้สัมภาษณ์ ก็ถูกถามเยอะแยะเป็นภาษาอังกฤษ ขอดูเอกสารนั้นนี่โน้น จนในที่สุด ก็มีคำว่า  Sorry ออกมา โอ๊ย เราใจแป่วเลย โดนไปอีกคน ได้ยินแต่ว่า มันไม่เมคเซ้นส์ (สรุปคร่าวๆ น้องเค้าจะไปเรียนภาษาก่อน แล้วจะต่อโท) เข้าใจว่า เหมือนเค้าจะคิดว่าสปอนเซอร์ ไม่น่าจะยอมจ่ายเงินเยอะขนาดนั้นให้น้องคนนั้น (แปลออกมามั่วๆประมาณนี้ -..-)

ไม่นาน แถวเราก็ขยับมาจนถึงเราจนได้ ขณะที่แถวข้างๆ ยังไปไม่ค่อยถึงไหน น่าจะได้ประมาณ 5-6 คน ส่วนแถวเรา เราเป็นคนที่ 10

ไปถึง ก็ตามสูตรเลย เราสวัสดีค่ะเค้าก่อนเลย 555+

แล้วเค้าก็ตอบเรากลับมาว่า สวัสดีครับ ><

หลังจากนั้นบทสนทนาก็กลายเป็นภาษาไทย เอิ้กกกกกกกกกก เค้าถามเราแค่
เค้า : ไปเรียนภาษาใช่มั๊ยครับ
เรา : ใช่ค่ะ
เค้า : ทำไมต้องไปเรียนภาษาครับ
เรา : เพราะลูกค้าเรามีหลายชาติ เช่นญี่ปุ่น อเมริกา เราต้องใช้ภาษาติดต่องาน
เค้า : ตอนนี้ทำงานอะไรอยู่ครับ
เรา : ทำ Art studioค่ะ เป็นคล้ายๆเอเจนซี่ รับงานมาแล้วส่งต่อ (ตอบเหมือนที่หน้าห้องถาม)
เค้า : ใครเป็นสปอนเซอร์ให้ครับ
เรา : พ่อค่ะ
เค้า : พ่อทำงานอะไรครับ
เรา : ข้าราชการบำนาญ แล้วก็นายหน้าขายที่ดิน
เค้า : ห๊า อารายน๊าคร๊าบบบ
เรา : นาย-หน้า-ขาย-ที่-ดิน-ค่ะ
เค้า : อ๋อๆๆๆ
เรา : ^ - ^
เค้า : มีญาติอยู่ที่โน้นมั๊ยครับ
เรา : มีแม่กับน้องสาวค่ะ

แล้วเค้าก็พิมพ์ คอมพ์ ต๊อกๆๆแต๊กๆๆๆๆ
จากนั้นก็รวบเอกสาร แล้วยื่นให้เรา บอกเราว่าไปจ่ายเงินที่ไปรษณีย์ข้างหน้า อร๊ายยยยยยยยยย ><

ถามเท่านี้แหละ เร็วมาก ไม่ขอดูเอกสารอะไรเพิ่มเลย

เรารู้สึกโชคดีมากกกกกกกกก ที่ได้เข้าช่องนี้ เหมือนเค้าจะใจดีกว่าช่องข้างๆ หนุ่มด้วย หล่อด้วยอะ แฮ่ๆ

แต่เราคิดว่า หน้าห้องอะ ที่เค้าดูเอกสาร น่าจะสกรีนแล้วโน๊ตเราไว้ก่อนแล้ว เพราะเราว่าที่เราง่าย เพราะเราบอกหน้าห้องแหละ ว่าเราไม่คิดจะไปอยู่เลยไม่ได้กะขอกรีนการ์ด แล้วก็พอดีมาคุยกับกับแม่ แม่ว่า เค้าน่าจะกรองคนเข้าแต่ละช่องไว้แล้ว ช่องเราอาจจะ เป็นพวกเอกสารครบ ดูไม่น่ามีปัญหาของ่าย  อีกช่องอาจจะเป็นพวก งงๆมึนๆ ต้องถามกันเยอะ ซึ่งมาคิดๆดูก็อาจจะจริง เพราะ เลขคิวมันโดดกันแปลกๆจริงๆ (รึเราอาจจะเดาผิดก็ได้นะ แหะๆ)

เลยอยากให้คนที่ไปสัมภาษณ์ ให้ความสำคัญกับการตอบคำถามหน้าห้องด้วยนะคะ เพราะเราว่าตรงจุดนี้แหละที่เราคิดว่าช่วยให้เราผ่านได้แบบไม่ยาก

ผู้เขียน : LinZ @ KhonthaiAmerica.com

รูปจาก www.i24news.tv